วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เจดีย์วิปัสสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) เจดีย์สีทองขนาดมหึมา!!

มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปีนาม “สุภัช จันทรา” ผู้มีสินทรัพย์ ในครอบครองราว 60,000 ล้านบาท 

เจ้าของกิจการเครือข่ายโทรทัศน์ Zee TV ที่มีผู้ชม 500 ล้านคนต่อวัน และเจ้าของ Esselworld and Water Kingdom สวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ..

ได้ทุ่มทุน 750 ล้านรูปี (ราว 500 ล้านบาท) เพื่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!



 ซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์วิปัสสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองขนาดมหึมา ตั้งโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ในหมู่บ้านโกไร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

 จันทราเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีเครือญาติช่วยกันทำการค้า ภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย

 ต่อมาเกิดภาระหนี้สิน จึงต้องแยกย้ายกันไป จันทราต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เวลานั้นเขาเหลือเงิน ติดกระเป๋าไม่ถึง 30 บาท ขณะมุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลีเพื่อทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ให้ครอบครัว

ในที่สุดเขาก็หาเงินก้อนใหญ่ได้จากการค้าข้าว เขาจึงย้ายไป ที่เมืองมุมไบ เพื่อตั้งโรงงานเล็กๆผลิตหลอดลามิเนทบรรจุผลิตภัณฑ์

 ต่อมาในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย จันทราได้เปิดสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (Zee TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกของอินเดียในปี 1992 ตอนนั้นครอบครัวของเขากังวลว่า เขาจะต้องสูญเสียธุรกิจเดิมที่สร้างมากับมือไป

 อโศก คูเรียน เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งซีทีวี เล่าว่า มันเหมือนการเดินเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย!!

 ยุคนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทางการไม่ให้ใบอนุญาต ดังนั้น จันทราจึงไปเปิดสถานีที่ฮ่องกงแทน รัฐบาลอินเดียได้เรียกตัวเขาไปสอบสวนหลายครั้ง และให้ปิดสถานี แต่จันทราปฏิเสธ แม้ในช่วงเริ่มต้นเขาต้องสูญเงินเดือนละ 180 ล้านบาทก็ตาม

ในตอนนั้น จันทราได้รับการแนะนำให้รู้จัก “สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า” วิปัสสนาจารย์ชาวอินเดีย ซึ่งได้ชักชวนให้จันทราเข้าคอร์สวิปัสสนาเป็นครั้งแรก “สุชีลา” ผู้เป็นภรรยาได้สนับสนุนให้สามีลองทำวิปัสสนา เพื่อล้างพิษจากความเครียดที่มีอยู่

คอร์สแรกสำหรับเขาใช้เวลา 10 วัน ให้ผลดีมากกว่าแค่การขจัดความเครียด เพราะเมื่อจันทรากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงาน สังเกตได้ถึงความคิดของเขาว่า “แหลมคมเหมือนใบมีด” และเมื่อเรื่องงานทำให้เขารู้สึกเครียดมากขึ้น เขาก็ยังคงไปเข้าคอร์สทำวิปัสสนาอยู่เสมอ และแม้จะมีเรื่องงานที่ทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ เขาก็จะพักงานไว้ก่อน



 “บ่อยครั้งที่มีเรื่องทำให้ผมไปเข้าคอร์สวิปัสสนาไม่ได้ แต่ผมก็ยังไป” จันทราพูด อโศก คูเรียน เล่าว่า ช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งซีทีวี เขารับไม่ได้กับการหายตัวไปของจันทราบ่อยครั้ง 

เรามักมีปัญหาที่ไม่ซ้ำกัน 40 เรื่องประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจันทราก็หายตัวไปขณะที่เรายุ่งกับการแก้ปัญหา แต่แล้วเขาก็จะกลับมาในสภาพที่ได้ไปเติมพลังชาร์จแบตมาอย่างดี            

กว่า 20 ปีที่มหาเศรษฐี ชาวอินเดียได้เรียนทำวิปัสสนากับโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์วัย 86 ปี  การทำวิปัสสนาสอนให้ผมมีจิตใจสงบนิ่งในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ซึ่งช่วยผมเป็นอย่างมากในเรื่องธุรกิจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ผมค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้ เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และผมรู้สึกว่า มันเป็นหนทางที่เหมาะสำหรับผม 

จันทราบอกว่า การทำวิปัสสนาช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ทางธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล เขาจึงพยายามชักชวนคนในครอบ ครัวไปเข้าคอร์สวิปัสสนา และยังสนับสนุนให้พนักงานซีทีวี ลางานโดยได้รับเงินเดือน เพื่อไปเข้าคอร์สวิปัสสนา แต่มีไม่ถึง 15% ที่ลางานไป มหาเศรษฐีใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “มันไม่ได้อยู่ในชะตาลิขิตของพวกเขา”
   

ในปี 1997 จันทราได้ยกที่ดินราว 33 ไร่ มูลค่า 150 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า

“ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการทำวิปัสสนา จึงอยากให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมในประสบการณ์นี้เช่นกัน” จันทรากล่าวขณะนั่งในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของเอซเซิล เขามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกับภาพวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา

 จันทราเข้ามาดูแลการก่อสร้างเจดีย์ดังกล่าวทุกขั้นตอน เขาขับรถนาน 2 ชมจากที่ทำงานไปยังเขตก่อสร้างเพื่อตรวจสอบ ความคืบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง “นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อให้อยู่ได้นานถึง 2,000 ปี” จันทราบอก

เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 มหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ ก็ได้จัดพิธีเฉลิมฉลอง โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐาน ณ ยอดโดมที่ใหญ่ที่สุด.



 หลังการเฉลิมฉลองเจดีย์วิปัสสนาแล้ว จันทราได้ส่งมอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้บุตรชายคนโต และในปีถัดมา เขาได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ประธานมูลนิธิวิปัสสนาสากล.

 แต่ยังคงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและทำวิปัสสนาเป็นประจำทุกวัน เขาบอกว่า  “ผมสามารถทำวิปัสสนาได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับคุณ” 

--------------------------------

เจดีย์วิปัสสนาสากล
โครงการก่อสร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล เริ่มวางศิลาฤกษ์ในปี 1997 โครงสร้างทั้งหมดประกอบด้วยเจดีย์รูปโดม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ห้องโถงขนาดใหญ่ สำหรับปฏิบัติวิปัสสนาหอศิลป์จัดแสดงภาพพุทธประวัติและพุทธธรรมเจดีย์ขนาดเล็กสูง 60 ฟุต 2 องค์ ทางทิศเหนือและใต้ห้องสมุดและห้องเรียน ลานกว้างรอบๆพระเจดีย์ ตึกธุรการห้องใต้ดิน และห้องประชุม 2 ห้อง
        
จุดประสงค์ของการสร้างเจดีย์นี้ เพื่อแสดงความซาบซึ้งในมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมอันเป็นสากล เพื่อให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและเพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณประเทศพม่าที่ยังคงอนุรักษ์การทำวิปัสสนาแบบดั้งเดิมไว้ในขณะที่ได้หายสาบสูญไปจากแหล่งกำเนิดในอินเดียแล้ว

เจดีย์องค์นี้สร้างโดยใช้เทคโนโลยีผสมผสานระหว่างอินเดีย โบราณและสมัยใหม่โดยใช้เทคนิคโบราณที่นำก้อนหินทรายแดงมาเชื่อมต่อกันด้วยปูนขาว หินแต่ละก้อนหนัก 700 กก. น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านตัน เพื่อให้คงทนถาวรราว 2,000 ปี
      


 รูปแบบเจดีย์วิปัสสนาสากล จำลองมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า โครงสร้างของพระเจดีย์ประกอบด้วยโดม 3 ส่วน
      
 ส่วนแรกที่เป็นโดมใหญ่สุด สร้างเสร็จในปี 2006 มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ ยอดโดม นับเป็นสิ่งก่อสร้างรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งขุดพบในสถูปสาญจี และสมาคมมหาโพธิแห่งอินเดียได้มอบให้ เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐาน ณ เจดีย์แห่งนี้ ส่วนโดมที่สองและสามสร้างอยู่บนยอดของโดมแรก สร้างแล้วเสร็จในปี 2008
      
 บริเวณศูนย์กลางของเจดีย์เป็นโดมหินไร้เสาค้ำยันที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์พระเจดีย์สูง 96.12 เมตร ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของโดมโกล กัมบาซ แห่งเมืองพิชปุระ ในรัฐกรณาฏกะ ของอินเดีย ซึ่งเคยเป็นปูชนียสถานรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
      


 เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกส่วนที่กว้างที่สุดของโดมเท่ากับ 97.46 เมตร และส่วนที่แคบที่สุดเท่ากับ 94.82 เมตร ภายในเจดีย์เป็นที่โล่ง ไม่มีเสาค้ำยัน ใช้เป็นห้องปฏิบัติวิปัสสนา บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร รองรับได้มากกว่า 8,000 คน
      


โดยเริ่มประเดิมเปิดคอร์สปฐมฤกษ์ ปฏิบัติวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้า ณ เจดีย์แห่งนี้เป็นเวลา 1 วัน เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2008 ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2009 ได้มีพิธีเปิดเจดีย์วิปัสสนาสากลอย่างเป็นทางการ โดยมี นางประติภา ปาติล ประธานาธิบดีของอินเดีย เป็นประธาน
       
เจดีย์วิปัสสนาสากลถือเป็นปูชนียสถานที่มีชื่อเสียง ของเมืองมุมไบ และนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ในแต่ละวันมีผู้คนมากมายได้เดินทางมาที่นี่ เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งทางรัฐมหาราษฏระคาดว่าสถานที่แห่งนี้ จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ปีละหลายแสนคน

-------------------------------------
ข้อมูลจากนิตยสารธรรมลีลา
ปีที่ 12 ฉบับที่ 136 ( เม.ย. 2555)
Cr.วิ.ณ บาเยิร์น

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เทวดาคนจน!!"หมอหนุ่ม"เปิดคลินิกคนจน 2 บาทรักษาทุกโรค !!

พอรู้ประวัติหมอบอกเลยไม่ธรรมดา กราบหัวใจ!

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ชาวเน็ตต่างเข้าไปชื่นชมอาจารย์หมอรายหนึ่ง หลังเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก @Birdy Paitoon ระบุว่า “ม่าม๊าเคยฝันไว้ว่า เมื่อลูกเป็นหมอแล้ว ก็อยากจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนละแวกบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นต่างด้าว โดยไม่คิดค่าบริการใดๆ เพื่อทำบุญและช่วยเหลือคน 

โดยม่าม๊าคิดว่าเรามีพอที่จะใช้จ่ายแบบไม่เดือดร้อนแล้ว ถึงเวลาที่ต้องแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ฟองบุญ คลินิก คิดค่าบริการ  2 บาท” ซึ่งชาวเน็ตพากันส่งต่อไอเดียของอาจารย์หมอรายนี้ พร้อมกับยกย่องหัวใจอันประเสริฐที่หวังช่วยเหลือคนไข้ โดยไม่มีข้อแม้แต่อย่างใด


“อ.นพ.ไพฑูรย์ เบ็ญจพรเลิศ” หรือ “หมอเบิร์ด” แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ.รามาธิบดี กล่าวให้ฟังว่า ฟองบุญคลีนิค สุขสวัสดิ์ 2 ย่านพระราม 2 เกิดขึ้นจากการสานฝันของพ่อกับแม่ตนเอง โดยเปิดคลินิกที่บ้านเพื่อตรวจรักษาโรคทั่วไป เฉพาะวันอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน เนื่องจากวันจันทร์-เสาร์ มีภารกิจสอนและรักษาคนไข้ที่รพ.รามาธิบดี ซึ่งกลับมาไม่ทัน อีกทั้งตนทำงานประจำติดต่อกัน 6 วัน อย่างไรก็ตามคลินิกแห่งนี้


จดทะเบียนเปิดตรวจรักษาคนไข้ตามปณิธานที่ตนอยากทำ คือ ตรวจรักษาฟรี แต่เกรงว่าจะไปทับไลน์โครงการของภาครัฐ อีกทั้งการขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล กำหนดว่าคลินิกจะต้องส่งรายได้ประจำปี เพื่อเสียภาษีตามกฎหมาย จึงคิดว่าตั้งไว้ 2 บาท แต่ให้หยอดกล่องเอง จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ซึ่งนอกเหนือจากตนแล้ว ขณะมีน้องผู้ช่วยพยาบาล 1 คนมาจัดยาให้ และจัดตารางการออกตรวจให้คนไข้ละแวกบ้านได้ทราบในช่วงแรก และเริ่มทดลองเปิดตรวจคนไข้มา 3 ครั้งแล้ว ทั้งนี้จะค่อยๆ ขยายเวลามากขึ้น และชวนคนมีจิตอาสามาช่วยกัน 


“คุณพ่อคุณแม่ของหมอ ไม่ได้เป็นแพทย์หรือข้าราชการ แต่ทำธุรกิจส่วนตัว อายุถึงวัยเกษียณแล้ว เห็นลูกจ้างในบ้านเป็นคนในครอบครัว ท่านสอนว่าเมื่อมีก็ต้องรู้จักแบ่งปัน ตอนหมอเป็นนักศึกษาแพทย์ ท่านก็ถามว่าเรียนจบแล้วถ้าเปิดคลินิกช่วยคน พอจะมีเวลารักษาพวกเขาไหม หมอก็ตอบตกลงว่ามี แต่อนาคตอาจมีอุปกรณ์ด้านกายภาพบำบัด เพราะหมอเป็นแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งทั้งหมดหมออยากทำแบบเงียบๆ มีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ทำไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะปิด

ทำจนกว่าหมอจะแก่ไม่มีแรงทำ ถ้าเราพอจะช่วยคนอื่นได้ ช่วยคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา ถ้าเร็วมากที่บ้านอาจจะตั้งตัวไม่ทัน เพราะมีหมอคนเดียว และมีผู้ช่วยพยาบาล 1 คนมาจัดยา และมีครอบครัวมาช่วยจัดการเรื่องคิวพบหมอ ส่วนเรื่องเงินทอง จริงๆ หมอไม่ได้เรียกเก็บ อย่างที่บอกว่าอยากจะทำฟรี แต่ติดป้ายว่า 2 บาท เพราะปฏิบัติตามกฎหมาย เวลาคนไข้ถามจ่ายเท่าไหร่ จะบอกตามศรัทธา มีกล่องให้หยอดเงิน จะไม่หยอดก็ได้ หรือหยอดกี่บาทก็ได้” หมอเบิร์ด เผยให้ฟัง. 

อ่านแล้ว อยากบอกว่า ต้นตระกูลเขาดี จนมาถึงชั่วลูกชั่วหลาน และทำแบบไม่อยากได้หน้า หายาก ขอให้ทั้งคุณหมอ ครอบครัวตลอดญาติ ของท่าน โชคดีและปลอดภัย สำเร็จในทุกสิ่ง จงเจริญรุ่งเรือง อายุมั่น สุขภาพที่แข็งแรงเพื่อโปรดคนด้อยโอกาศต่อไปนานเท่านานนะครับผม

Cr.http://www.share-si.com/2017/04/2_62.html?spref=fb

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

งดงามเลอค่า!! เผย 10 "เจ้าหญิง" ตัวจริง! สวยสง่า สะกดทุกสายตา!!

งดงามเลอค่า!! เผย 10 "เจ้าหญิง" ตัวจริง! สวยสง่า สะกดทุกสายตา ที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน


เมื่อไม่นานมานี้ทางเว็บไซต์ Popsugar ปี 2559 ได้รวบรวมเจ้าหญิงจากหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก

 ที่ทั้งทรงพระสิริโฉมโดดเด่นสง่างาม และทรงมีพระปรีชาสามารถ ควรค่าแก่การรู้จักและน่าจดจำมาให้ได้ชมกันทั้งหมด 10 พระองค์

 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ แห่งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้จะมีเจ้าหญิงที่ไหนกันบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลย


พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ แห่งประเทศไทย


 ภาพจาก เฟซบุ๊ก H.R.H Princess Sirivannavari Nariratana

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 29 ปี


เจ้าหญิงชาร์ลีน แห่งโมนาโก


ภาพจาก hellomagazine

เจ้าหญิงชาร์ลีน ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 38 ปี


เจ้าหญิงมารี-แชนทัล แห่งกรีซ


ภาพจาก unofficialroyalty

 เจ้าหญิงมารี-แชนทัล มกุฎราชกุมารี ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 47 ปี ทรงเป็นพระชายาในเจ้าชายเปาโลส มกุฎราชกุมารแห่งกรีซ


เจ้าหญิงแองเจล่า แห่งลิกเตนสไตน์


ภาพจาก dontgetherhairwet

 เจ้าหญิงแองเจล่า ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 57 ปี พระชายาของเจ้าชายแม็กมิเลี่ยน โดยก่อนหน้านั้นพระองค์ทรงเป็นดีไซเนอร์อยู่ในกรุงนิวยอร์ก


เจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ คาซิรากี แห่งโมนาโก


ภาพจาก zimbio

 เจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ คาซิรากี้ พระราชนัดดาของสมเด็จยาย เจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 29 ปี


เจ้าหญิงลัลลา ซัลมา แห่งโมร็อกโก


ภาพจาก alyaoum24

 เจ้าหญิงลัลลา ซัลมา พระชายาพระองค์แรกในสมเด็จพระราชาธิบดีมุฮัมมัดที่ 6 พระมหากษัตริย์แห่งโมร็อกโก ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 37 ปี


เจ้าหญิงอามีราห์ อัล-ทาวีล แห่งซาอุดิอาระเบีย


ภาพจาก maldivesfinest

เจ้าหญิงอามีราห์ อัล-ทาวีล ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 32 ปี ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลวาลีด บิน ตาลาล ก่อนจะทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ในปี 2556


เจ้าหญิงเมตเต-มาริต มกุฎราชกุมารี แห่งนอร์เวย์


ภาพจาก gala.de

 เจ้าหญิงเมตเต-มาริต มกุฎราชกุมารี ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 42 ปี


เจ้าหญิงเบียทริซ แห่งยอร์ก


ภาพจาก zimbio

เจ้าหญิงเบียทริซ สมาชิกพระองค์หนึ่งของพระราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 27 ปี  เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และ เจ้าชายฟิลิป


เจ้าหญิงสเตฟานี แกรนด์ดัชเชสรัชทายาท แห่งลักเซมเบิร์ก


ภาพจาก royalisticism.blogspot.com

 เจ้าหญิงสเตฟานี แกรนด์ดัชเชสรัชทายาท พระชายาในแกรนด์ดยุกกีโยม รัชทายาทแห่งลักเซมเบิร์ก ทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์ขุนนางของเบลเยียมปัจจุบันทรงมีพระชันษา 31 ปี


เครดิต ขอบคุณข้อมูลจาก women.kapook, farm9.staticflickr, topicstock.pantip., oknation.nationtv

ต้องทำอย่างไร ? เมื่อ >> “เด็กไทยคิดไม่เป็น” ???

มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (3) : สอนให้รู้สึกและสอนให้รู้ลึก..

 ผู้ใหญ่มักบ่นว่า “เด็กไทยคิดไม่เป็น” คำว่า “คิด” ในเชิงสังคม คงหมายถึงการใช้ปัญญาพิจารณาวิเคราะห์และตัดสินด้วยเหตุผลทั้งในด้านวิชาการและคุณธรรม



 เมื่อเด็กคิดไม่เป็น ต่อไปก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่คิดไม่เป็นอีก เกิดวงจรไร้จุดจบวนอยู่อย่างนั้น

 คำบ่นแบบนี้ผมได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ และตัวเองก็คงเคยเป็นเด็กที่คิดอะไรไม่เป็นมาก่อนเช่นกัน

 หรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่กล้ายืนยันกับใครว่าเราใช่ผู้ใหญ่ที่คิดเป็นหรือไม่ เพราะเติบโตในระบบการศึกษาของไทยมาเหมือนกัน
       
   ผ่านมานานแล้วตั้งแต่ผมเริ่มอ่านออกเขียนได้ แต่ไม่ว่ายุคไหนๆ เสียงบ่นทำนองนี้ก็ยังมีให้ได้ยิน เอ...สรุปว่าเด็กผิด หรือผู้ใหญ่ผิดที่สอนเด็กให้คิดเป็นไม่ได้?

 การปรับการศึกษาให้สามารถสร้างคนที่มีคุณภาพออกมาได้เป็นเรื่องใหญ่และควรทำทั้งระบบ

 ผมไม่ใช่นักการศึกษาในระดับนโยบาย จึงไม่อาจเสนอแนะสิ่งใดในแบบผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง คงทำได้แค่แบ่งปันข้อสังเกตจากวงการศึกษาของญี่ปุ่นที่อาจจุดประกายความเคลื่อนไหวให้แก่การศึกษาของไทยบ้าง

 สิ่งที่ผมคิดว่าการศึกษาญี่ปุ่นสอนให้เด็กมีติดตัวเป็นพื้นฐาน อาจจะโดยตั้งใจหรือโดยลักษณะประจำชาติของคนญี่ปุ่นก็แล้วแต่ คือ การสอนให้รู้สึกและการสอนให้รู้ลึก

       
  เมื่อมองประเด็น “เด็กไทยคิดไม่เป็น” คำถามคือ “เด็กจำเป็นต้องคิดไหม” ??

 ตามธรรมชาติของเด็ก เด็กต้องคิดอะไรมากมายหรือไม่? ถ้าผู้ใหญ่หวังผลเลิศ ก็คงจะตอบว่า “เด็กควรคิด” 

 และผู้ใหญ่ก็จะ ‘พยายาม’ สอนให้คิด เมื่อเกิดการสอน เราวัดได้แน่ชัดแค่ไหนว่าสอนให้คิดมากน้อยขนาดไหนถึงจะไม่กลายเป็นภาระทางสมองและอารมณ์สำหรับเด็ก?


 หากการวัดเป็นเรื่องยาก ก็ไม่ควรยัดเยียดเป้าหมายของผู้ใหญ่ให้เด็กจำใจรับโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองทางญี่ปุ่น ผมรู้สึกว่าเด็กญี่ปุ่นไม่ค่อยถูกบังคับให้คิด

 แต่มีทักษะการคิดติดตัวมาตั้งแต่เด็ก และจะแสดงความสามารถในการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลออกมาเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 



  ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นคือ ให้ความสำคัญต่อกระบวนการ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน

 เป้าหมายก็ตั้งไว้ แต่จะบรรลุหรือไม่ นั่นคือเรื่องทีหลัง เรื่องนี้สะท้อนออกมาในการศึกษาสำหรับเด็กด้วย คือ ส่งเสริมให้รู้สึกเสียก่อน เดี๋ยวต่อไปกระบวนการนั้นจะกลายเป็นความคิด

 การคิดเป็นเรื่องที่ต้องสอน แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่เกิดและนำมาใช้ได้ง่ายมาก 

 การให้เด็กแสดงความรู้สึกแบบไม่ปรุงแต่งด้วยคำถามพื้นๆ ของครู รู้สึกอย่างไรก็ให้พูดแบบนั้น

 ฝึกให้เด็กตรวจสอบความรู้สึกของตัวเอง โดยมีครูตะล่อมไปในแนวทางที่เหมาะสมจะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักมองตัวเองกับสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การคิดเป็นในที่สุด
       
  โรงเรียนญี่ปุ่นทำอย่างไร? นี่ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลย ภาษาญี่ปุ่นมีคำว่า “คันโซ” (感想;kansō) แปลว่า ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

 ครูมักให้เด็กแสดงความรู้สึกต่อเรื่องที่ฟัง หรือได้อ่าน หรือได้ทำ ทั้งแบบปากเปล่าและด้วยการเขียน ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือ เด็กเล็กๆ ชอบฟังนิทาน เรื่องเล่า ละครกระดาษประกอบคำบรรยาย เป็นต้น

 สิ่งเหล่านี้ตรึงความสนใจของเด็กได้เสมอ ครูอนุบาลหรือครูประถมของญี่ปุ่นจะเล่าหรืออ่านเรื่องพวกนี้ให้เด็กฟังเป็นระยะ หรือไม่ก็ให้เด็กอ่านเอง พอจบเรื่องก็จะถาม “คันโซ” คือถามความรู้สึก

 ซึ่งก็ง่ายมาก ขั้นแรกคือถามความรู้สึกที่สัมผัสได้ทันที เช่น ชอบไหม? ชอบตัวละครไหน? ชอบฉากไหน? เอาใจช่วยตัวละครตัวไหน? 

 ขั้นต่อไปคือความรู้สึกที่ประกอบด้วยเหตุผล ทำไมถึงชอบ? ทำไมถึงไม่ชอบ? ถ้าหนูเลือกได้ อยากเป็นตัวละครตัวไหน? เพราะอะไร?

 และจะได้คำตอบสั้นๆ จากเด็ก ไม่มีคำตอบไหนที่ผิด ทำให้เด็กๆ สนุกและมีส่วนร่วมไปกับเรื่องที่ตัวเองได้ฟัง นำไปสู่ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนตลอดจนการฟังและการพูด

 และการให้เด็กแสดงความรู้สึกยังเป็นช่องทางที่จะใช้ประยุกต์เพื่อสอนคุณธรรมให้เด็กด้วย เช่น เมื่อรู้สึกสงสารก็อยากช่วย

 เมื่อรู้สึกถูกเอาเปรียบ ครูก็สามารถสอนให้รักความยุติธรรม เมื่อเด็กรู้สึกโกรธ ครูก็จะสบช่องสอนให้รู้จักอภัย
       
  จะเห็นได้ว่า จากความรู้สึก ก็เริ่มคาบเกี่ยวกลายเป็นจินตนาการกับความคิดและการหาเหตุผลในใจตัวเอง นั่นจะพัฒนาไปสู่การเรียบเรียงความคิดและการเขียนได้

 จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่ผ่านการศึกษาของไทย จำได้แม่นยำจนถึงทุกวันนี้ว่าเกลียดวิชาเรียงความมาก เพราะเขียนไม่ได้ เขียนไม่เป็น โดยที่ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร

 ตอนนั้นอยู่ ป.6 เริ่มเรียนวิชาเรียงความ ครูบอกแค่ว่าไปเขียนเรียงความมาโดยจะต้องมีคำนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป หัวข้อคือ “ทุเรียน”

 ว่าแต่คำนำคืออะไร? เนื้อเรื่องคืออะไร? บทสรุปคืออะไร? เด็ก ป.6 คิดไม่ออก ทำได้ไม่ดี ก็เขียนแค่พอส่งๆ ไป ไม่ชอบการเขียนจนโตและไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนักเขียนอย่างทุกวันนี้

 จนไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วจึงรู้สาเหตุว่าตอนเด็กๆ เราเขียนไม่ได้เพราะเราไม่เคยสำรวจความรู้สึกของตัวเองต่อหัวข้อ

 ถ้าครูชี้นำด้วยคำถามง่ายๆ ว่าเธอชอบทุเรียนไหม? มันอร่อยไหม? กลิ่นหอมไหม? ถ้ามีคนบอกว่ามันเหม็น เธอรู้สึกยังไง?

 ถามความรู้สึกแค่นี้เอง ก็จะเริ่มได้เนื้อหา นำมาเรียบเรียงแล้วใส่โครงสร้าง ก็จะกลายเป็นงานเขียนชิ้นเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่งขึ้นมา

 แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผมถึงไม่รู้สึกรักการเขียนกระทั่งไปเรียนที่ญี่ปุ่น 



    ในญี่ปุ่น การถาม “คันโซ”—ความรู้สึก และให้เขียน “คันโซบุง”—เรียงความ (แสดงความรู้สึก) (感想文;kansōbun) มีตั้งแต่ระดับประถม สั้นยาวตามระดับของเด็ก

 และเริ่มจากหัวข้อใกล้ตัว ต่อมา จากเรียงความประเภท “คันโซบุง” เมื่อผู้เรียนชำนาญขึ้นก็จะพัฒนาเป็น “ซะกุบุง”—เรียงความทั่วไป (作文;sakubun) ที่ต้องใช้ความคิดกลั่นกรอง ความคิดสร้างสรรค์ หรือการวิเคราะห์มากขึ้น

 ซึ่งพื้นฐานที่สำคัญได้มาจากเรียงความ สื่อความรู้สึกนั่นเอง!!

 ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าให้ “แสดงความคิดเห็น” อย่าว่าแต่เด็ก แม้แต่ผู้ใหญ่ก็รู้สึกเกร็งขึ้นมา เพราะคำว่า “ความคิดเห็น” มีนัยว่าเนื้อหาที่ออกมานั้นจะต้องผ่านขั้นตอนการคิดและจะต้องยากแน่ๆ

 หากพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป ใครๆ จะหาว่าเราโง่ จึงเงียบเสีย ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น กลายเป็นที่มาของเด็กไทยคิดไม่เป็น แสดงความคิดเห็นไม่ออก

 และเมื่อถึงเวลาที่จำต้องแสดงความคิดเห็นจริงๆ จึงขาดโครงสร้างและเหตุผลที่จะโน้มน้าวผู้รับสาร ของไทย

 ถ้าเราเปลี่ยนเสียใหม่ ครูไทยบอกเด็กให้ “แสดงความรู้สึก” แทนที่จะเป็น “แสดงความคิดเห็น” ความกดดันอาจจะลดลง และเด็กก็อาจจะฝึกพูดเพื่อสื่ออะไรๆ ได้ดีตั้งแต่ยังเล็ก
       
  ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของคนญี่ปุ่นคือ ชอบค้นคว้า..

 ถ้าผมบอกคนไทยว่าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น แต่ไม่มีห้องพักอาจารย์ ใครๆ ก็คงไม่เชื่อ

 ทว่านั่นเป็นความจริง!! ตามแง่มุมของถ้อยคำที่ใช้ กล่าวคือ คำว่า “ห้องพักอาจารย์” ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “เค็งกีวชิสึ” (研究室;kenkyū-shitsu) แปลตรงๆ ว่า ห้องวิจัย

 นั่นหมายความว่าเมื่อว่างเว้นจากการสอนและกลับมาที่ห้อง อาจารย์จะต้องวิจัย ไม่ใช่พัก ห้องที่ได้รับจึงไม่ใช่ห้องพัก แต่เป็นห้องทำงาน 

 สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นมุมมองของความคาดหวังจากสังคมที่มีต่ออาจารย์ว่าจะต้องค้นคว้าหาความรู้ อู้ไม่ได้ มีหน้าที่สอนก็สอนไป ว่างเมื่อไรต้องวิจัย

 และยังเป็นการสะท้อนลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญต่อการรู้ลึกและรู้จริงด้วย!!
       
  สำหรับคำว่า “เค็งกีว” (研究;kenkyū) ซึ่งแปลโดยทั่วไปว่าการวิจัยนั้น อาจดูเหมือนเป็นคำที่ใช้ในการศึกษาระดับสูง

 แต่เปล่าเลย คำนี้เป็นคำที่ธรรมดามากในสังคมญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นรู้จักคำนี้ตั้งแต่เรียนชั้นประถมกันแล้วเพราะโรงเรียนส่งเสริมให้ “เค็งกีว” ตั้งแต่เด็ก

 โดยเฉพาะในวิชาวิทยาศาสตร์ และในความหมายที่กว้างขึ้น คำนี้แปลว่าศึกษาค้นคว้า

 แน่นอนว่าผลของการค้นคว้าก็ไม่ใช่การค้นพบสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ แต่เป้าหมายหลักคือต้องการให้เด็กรู้จักค้นคว้าเพื่อหาคำตอบสำหรับสิ่งที่ตัวเองสนใจ ซึ่งกลายเป็นนิสัยติดตัวคนญี่ปุ่นจนโต

 และสิ่งที่คนญี่ปุ่นในสังคมจะพูดติดปากเมื่อมีเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ คือ “จะค้นดู” หรือ “จะศึกษาดู” ก่อนจะตอบอะไรส่งเดชโดยไม่ได้อิงแหล่งข้อมูล !



  ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนหรือฤดูหนาวของโรงเรียนประถม โรงเรียนจะมอบหมายให้นักเรียนทำ “จิยู-เค็งกีว” (自由研究;jiyū-kenkyū) แปลว่า การค้นคว้าอิสระ

 หรือพูดง่ายๆ นี่คือการบ้านปิดเทอม หัวข้อที่จะค้นคว้านำมาส่งครูจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ

 พอบอกอย่างนี้แล้ว คนไทยอาจมองว่าคงจะต้องลำบาก ต้องทำการทดลอง ต้องเตรียมตัวมากมายแน่เลย

 แต่ไม่ใช่ การส่งเสริมให้เด็ก มีนิสัยรักการค้นคว้านี้ ทำโดยให้เริ่มจากสิ่งที่ชอบ อยู่ในชีวิตประจำวัน อยู่ในชุมชน และไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์

 ตัวอย่างหัวข้อที่เด็กๆ พยายามค้นคว้าให้รู้ลึกยิ่งขึ้น เช่น สำรวจประวัติของเขตที่ตัวเองอาศัยอยู่ สำรวจชีวิตประจำวันของคนในชุมชน ลองทำเต้าหู้เองที่บ้าน

 ศึกษาประวัติบุคคลสำคัญ ลองทำสบู่เอง ปลูกพืชเอง สิ่งเหล่านี้โรงเรียนแนะแนวไว้แล้ว และให้เด็กไปต่อยอดศึกษาเอง

 บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองกับเด็กต้องร่วมมือกัน แต่พ่อแม่ญี่ปุ่นก็ชินกับการค้นคว้าอยู่แล้ว และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
       
  ทักษะเหล่านี้นักเรียนญี่ปุ่นรู้จักมาตั้งแต่ชั้นประถม พอเรียนมัธยมต้น จะเกิดการแข่งขันทางการศึกษามากขึ้น

 เพราะเด็กจำนวนมากมุ่งจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายดีๆ และต่อไปคือมหาวิทยาลัยชั้นนำ

 จุดนี้เป็นปัญหาของระบบการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน เด็กต้องเรียนคร่ำเคร่งเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีให้ได้เพราะนั่นหมายถึงอนาคตในการทำงาน

 อีกทั้งพ่อแม่ต้องเสียเงินให้ลูกไปโรงเรียนกวดวิชาอีกมากมาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นจุดบกพร่องของการศึกษาญี่ปุ่น
       
  ทว่า ผมในฐานะอาจารย์ที่สอนระดับมหาวิทยาลัย สังเกตได้ว่าคุณสมบัติด้านการเรียบเรียงถ่ายทอดความคิดและทักษะการค้นคว้าของนักศึกษามหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเป็นที่น่าชื่นชม

 อาจารย์พูดชี้แนะเพียงนิดเดียว นักศึกษาสามารถทำความเข้าใจได้ถูกต้อง และค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมกลับมานำเสนอได้อย่างดี

 ผมจึงมองว่า แม้ว่าการศึกษาในช่วงมัธยมของญี่ปุนมุ่งเน้นการสอนหนังสือเพื่อสอบเข้า แต่พื้นฐานที่คนญี่ปุ่นได้รับการปลูกฝังจนติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาทิ เรื่องการอยู่ร่วมกัน ระเบียบวินัย ทักษะการเรียนผ่านการสำรวจความรู้สึก

 และการค้นคว้าให้รู้ลึกนั้น ได้รับการถ่ายทอดมาในระดับประถมอย่างเข้มข้น พอฐานดี ครั้นจะต่อยอดสิ่งใดก็ทำได้ง่ายทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและระดับสังคม

 ญี่ปุ่นจึงก้าวหน้าทางวิชาการและมีคนต่างชาติไปเรียนมากมาย และมีคนที่ถึงพร้อมด้วยคุณภาพอย่างที่คนไทยชื่นชม
       
 ********************

  คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th 

Cr. manager online

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กฎแห่งกรรม “น้ำตาแม่ตก” ลองเสียเวลาอ่านสักนิด แล้วคุณจะเข้าใจ !!!!

กรรมติดจรวด”!!! หนุ่มไล่แม่ออกจากบ้าน ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ทำ “น้ำตาแม่ตก”สุดท้ายชีวิตพลิกผัน สำนึกได้เมื่อสายไปเสียแล้ว!!!???


 เมื่อสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยพูดว่าใครไม่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้มีพระคุณ คนผู้นั้นคบไม่ได้ ท่านห้ามไม่ให้คบ เพียงพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นพระคุณสูงสุดของเรา ให้ความรัก ให้ความเป็นห่วง ให้ความเมตตาปรานี ไม่มีใครจะรักเราหวังดีต่อเรามากเท่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า มีอยู่ในโลกเพียงสองคนเท่านั้น

 เมื่อท่านล้มหายตายจากไปแล้ว หาไม่ได้อีก ลูกชั่วมันไม่รู้พระคุณพ่อแม่แล้ว มันยังเนรคุณอีก แล้วใครจะคบมันได้ คนพวกนี้ไม่ซื่อกับใคร


ข้าพเจ้าก็เพียงจำเอาไว้ว่า คนที่ไม่เคารพพ่อแม่ของตัวนั้นเป็นคนคบไม่ได้ มันก็คบเพื่อนที่ดีไม่ได้เพราะคนดีเขาก็ไม่คบ คงจะคบได้แต่พวกอกตัญญูพวกนิสัยชั่วเหมือนกัน ผู้ใหญ่สมัยก่อนสอนเด็กพวกลูกหลานว่า ใครหรือลูกคนใดทำให้พ่อแม่ช้ำอกช้ำใจจนถึงน้ำตาตก คนผู้นั้นก็บาปหนัก จะต้องได้รับกรรมตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า หนีกรรมที่ตนทำไว้ไม่พ้น

ข้าพเจ้าได้ฟังคำของผู้ใหญ่ก็จดจำไว้ รู้ว่าเพื่อนคนไหนมีประวัติไม่เคารพพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ก็ไม่ยอมคบให้ความสนิทสนม และต่อมาได้ติดตามดูการครองชีวิตของคนผู้นั้น ไม่มีความเจริญมีแต่ความเสื่อม สุดท้ายกรรมตามสนอง มีลูกก็ไม่มีความกตัญญูแก่ตัว เช่นเดียวกับตัวได้ทำกับพ่อแม่ในอดีต นี่เป็นผลกรรม


ข้าพเจ้าได้รับบันทึกจากพระภิกษุรูปหนึ่ง เขียนมาจากวัดโขดทิมราชธาราม ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้บันทึกเรื่องที่ท่านได้ประสบการณ์เกิดขึ้นก่อนอุปสมบท ครั้งท่านยังเป็นฆราวาสในบันทึกของท่านได้เขียนว่า

อาตมาได้ประสบการณ์พบเห็นเรื่องจริงได้เกิดขึ้นแล้วด้วยตัวของอาตมาเอง เห็นว่าเข้ากับในชุด “กฎแห่งกรรม” ที่คุณโยมเขียน เพราะอาตมาได้อ่านชุด “กฎแห่งกรรม” รู้สึกมีประโยชน์มาก เพราะทำให้ผู้อ่านจิตใจสบายขึ้น อาตมาจึงได้บันทึกความจริงส่งมาให้ อยากให้คุณโยมพิจารณาดู เรื่องบุคคลที่ได้สร้างกรรมทำชั่วไว้กับผู้เป็นแม่ผู้มีพระคุณสูงยิ่ง ขาดความกตัญญูแล้วหนีไม่พ้นกรรมตามสนอง ตามสนองในชาตินี้ พอรู้ตัวว่าผิดก็หมดลมหายใจ



เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเวลาที่อาตมารับราชการเป็นพนักงานแผนกที่ดิน อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีเพื่อนร่วมโรงเรียนจบพร้อมกันและมีอายุเท่ากัน ปีเดียวกัน แต่ทำงานคนละแผนกในอำเภอเดียวกัน วันหนึ่งในเวลาราชการ อาตมาเดินออกจากแผนกที่ดินเพื่อนำหนังสือมาเสนอให้นายอำเภอลงนาม ก่อนที่จะเข้าห้องนายอำเภอ ต้องผ่านหน้าห้องมีโต๊ะปลัดอำเภอตั้งอยู่

 เห็นโยมแม่ของเพื่อนยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างโต๊ะปลัด เห็นเพื่อนผู้เป็นลูกยืนแสดงสีหน้าเครียดกำลังอารมณ์เสีย ขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ อาตมายืนนิ่งฟังอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุ ที่สุดก็จับใจความได้ว่า เพื่อนผู้นี้กำลังจะไล่แม่ให้ออกจากบ้าน ไม่สนใจว่าแม่จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน

อาตมาฟังแล้วต้องชะงักยืนงง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเพื่อนจะใจเหี้ยมโหดรุนแรงถึงเพียงนี้ อาตมาคิดแล้วก็เศร้าใจ เพราะเพื่อนผู้นี้เคยจบหกพร้อมกันที่โรงเรียนระยองมิตรอุปถัมภ์ และเวลานั้นเพื่อนก็มีภรรยาแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อมาพิจารณาดูตั้งแต่เพื่อนได้ภรรยาแล้วก็เปลี่ยนนิสัยไป ก่อนอยู่สองคนกับแม่ก็เป็นคนดี

อาตมาได้ยินปลัดอำเภอได้พยายามไกล่เกลี่ย เปรียบเทียบชี้ให้เห็นบุญบาป ที่ทำให้แม่เสียอกเสียใจถึงกับน้ำตาตก ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ อย่างน้อยอกน้อยใจ แต่ไม่ได้พูดรุนแรงกับลูก พูดจาเรียบๆ ไม่หยาบคาย เหมือนไม่โกรธตอบลูก แต่พูดให้ลูกเห็นใจ มิได้ใช้วาจาหยาบคายตามอารมณ์ ฟังแล้วก็คิดสงสาร เสียงผู้เป็นแม่พูดว่า

“แม่ได้ยกบ้านให้ลูกแล้ว เพียงแต่แม่อาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด และแม่ก็ไม่โกรธลูกที่ว่าแม่ ไล่แม่ แม่รู้ตัวว่าแม่แก่แล้ว อยู่ได้ไม่นานแม่ก็จะตาย ลูกไม่ควรจะไล่แม่ไปอยู่ที่อื่น แล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไปอาศัยใครเขาก็คงรังเกียจคนแก่ ช่วยทำงานอะไรให้เขาก็ไม่ไหว เห็นแก่แม่ที่เลี้ยงลูกมาจนโตเถิด แม่แก่แล้วจะอยู่กับลูกไม่นานก็ตาย”

อาตมายืนฟังด้วยความสลดใจ น้ำตามันจะไหลออกมา ข้าราชการบนอำเภอต่างก็หน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะความสงสารผู้เป็นแม่ คำพูดของแม่แต่ละคำมิได้พูดให้กระเทือนใจลูกเลย มีแต่คำอ้อนวอนให้ลูกมีความสงสารแม่เท่านั้น แต่ลูกกลับมีกิริยาทั้งขู่ทั้งตวาด ใช้วาจาหยาบคายต่อแม่บังเกิดเกล้า เสียงตวาดว่า

“ต้องออกจากบ้านเพราะบ้านเป็นของฉัน แม่ยกให้ฉัน ไม่ใช่ของแม่แล้ว แม่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ต่อไป แม่ไม่มีที่อยู่ ไปอยู่วัดก็ได้ ขอให้ไปพ้นบ้านฉัน”

อาตมาฟังแล้วมีความแค้นและเจ็บใจแทนผู้เป็นโยมแม่ของเพื่อน ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีจิตใจร้ายกาจเยี่ยงสัตว์เช่นนี้ พวกข้าราชการบนอำเภอต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาตมา มีแต่คนแช่งด่าชังน้ำหน้า ไม่มีใครยกย่องว่าเป็นคนดี

อาตมารู้สึกหูหน้าร้อนชา เลือดฉีดแรงขึ้นหน้าเพราะโกรธแทนโยมแม่ของเพื่อน สงสารและเห็นใจ นึกในใจเพื่อนอย่างนี้เลิกคบค้าสมาคมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาตมารู้ตัวดีจึงรีบเดินออกจากที่นั่น ก่อนที่จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ทนดูเพื่อนเป็นไอ้ลูกอกตัญญูไม่ไหว

ต่อจากนั้นอาตมาก็ไม่อยากทราบเรื่องให้เกิดความขุ่นใจเปล่าๆ เพราะอาตมาตัดการเป็นเพื่อนฝูงสิ้นสุดกันแล้ว อาตมาคิดว่าเพื่อนคนนี้ต่อไปจะไม่มีความเจริญ มีแต่จะเสื่อมลง กรรมจะต้องตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า

หลังจากนั้นต่อมาประมาณเดือนเศษ หรือสองเดือนอาตมาก็จำไม่ได้ ในปีเดียวกัน เพื่อนผู้นี้ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ซูซูกิ ๕๐ ซีซี มาทำงานที่อำเภอเป็นประจำ เช้าวันนั้นประมาณ ๘.๐๐ น. เพื่อนได้ขี่รถออกจากบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ ๖ กม. ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง เมื่อขี่จักรยานยนต์ผ่านมาถึงหน้าศาลากลางจังหวัด

เหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกเคยฝันก็เกิดขึ้น รถที่เพื่อนขี่มานั้นวิ่งตรงเข้าชนท้ายรถเมล์ที่จอดเฉยอยู่ข้างถนน เหมือนมีอาถรรพณ์เป็นเหตุให้รถแหลก ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัสมีผู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นเล่าว่า เมื่อเข้าช่วยพยุงร่างที่ไม่ได้สติออกมา เพื่อจะรีบนำตัวคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แต่พอรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก่อนที่เพื่อนของอาตมาจะสิ้นลมหายใจ ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนทารกแล้วรำพันเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“แม่จ๋า ลูกรู้ตัวว่าลูกผิดไปแล้ว แม่จ๋า อภัยให้ลูกด้วยแม่อยู่ไหน” พอสิ้นเสียงก็สิ้นใจ

เมื่อรู้ถึงผู้เป็นแม่ว่า ลูกชายเกิดอุบัติเหตุ ก็ตกใจลืมเรื่องที่ลูกเคยไล่ให้แม่ออกจากบ้าน เหลือแต่ความรักความอาลัยที่มีต่อลูก เมื่อรู้ข่าวว่าลูกตาย ก็เหมือนใครมาควักเอาดวงใจออกจากร่าง ร้องออกมาว่า “โธ่ ลูกรัก เจ้าหนีแม่ไปแล้ว” ก็ร่ำไห้รำพันถึงความรักที่มีต่อลูกชายคนเดียวจนสิ้นสติสมประดี หมดอาลัยในชีวิตที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป

นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า ความรักในโลกนี้ไม่มีใครรักลูกเกินกว่าแม่บังเกิดเกล้า แม้ลูกจะชั่วร้ายอกตัญญู ไม่รู้คุณทั้งยังทำให้แม่น้ำตาตกแม่ก็ยังรัก และยังให้อภัยลูกเสมอ แม่ฆ่าลูกไม่ได้ ขายลูกไม่ขาด

อาตมาอยากจะพูดว่า ลูกคนใดมีความเคารพกตัญญูต่อพ่อแม่บังเกิดเกล้า กรรมดีจะเป็นสิริมงคลมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตของผู้นั้น ตรงข้ามผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ กรรมชั่วนั้นจะตามสนอง เพราะไม่มีใครหนี “กฎแห่งกรรม” ไปได้ อยู่ที่เวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

งานฌาปนกิจศพเพื่อนอาตมาคนนี้ได้จัดขึ้น ณ เมรุวัดบ้างแลง ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง อาตมาก็ไปในงานเพราะรู้สึกเศร้าใจในชะตากรรมของเพื่อนอาตมา ที่เคยเกลียดเคยชังในการที่เพื่อนได้เคยปฏิบัติต่อแม่บังเกิดเกล้ามาแล้ว อาตมาก็ได้อโหสิกรรมให้หมดสิ้นไปแล้ว เพราะเพื่อนก็ได้รับเคราะห์กรรมตามสนองแล้ว งานประชุมเพลิงวันนั้น ผู้ไปในงานรู้ชีวิตเบื้องหลังของเพื่อน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ที่เพื่อนหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น บัดนี้ได้ตามสนองเพื่อนแล้ว คงจะเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังต่อไป

โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑

cr. http://www.siamvariety.com/view-12420.html

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ตื่นเถิดชาวพุทธ ! อย่าปล่อยให้เป็นนาลันทา 2 !!!

..พุทธสถานของเรา ควรห้ามโดยเด็ดขาดที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เอาบ้างปล่อยไว้มานาน...


 หรือจะนอนหลับปล่อยให้เป็นนาลันทา..สอง..มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว..ตื่นเถิดชาวพุทธ..ตื่นเถิด?เพื่อพระพุทธศาสนา..


อนุโมทนาสาธุ..
ในเมื่อประจำชาติไม่ได้ เอาประจำหมู่บ้านแบบนี้สุดยอดครับ
ผู้นำสร้างพลังชุมชนไว้แบบนี้ดีมาก และดีกว่า....ที่ไม่คิดทำอะไรเลยไม่คิดทำอะไรสักอย่าง สงสารลูกหลานครับมองให้ไกลๆ


วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

'ทักษิณ'ลั่นหากกลับไทย จะปวารณาตัวจรรโลงศาสนา!!

ไม่ใช่ปราชญ์ เพียงไม่อาจทนเห็นหลวงปู่หลวงตาทั้งหลาย โดนใส่ร้ายป้ายสี...เกลียดแบบไร้สาระ


ถ้าจะถามว่าอดีตนายก "ทักษิณ" เป็นคนอย่างไร.. ก็ต้องดูว่าผู้พูด "ชอบ" ใส่เสื้อสีอะไร.??

เหรียญยังต้องมี "สองด้าน" เพราะฉะนั้น "คน" ก็ต้องมีสอง "บุคลิก" ฉันใดก็ฉันเพล..

ตราบใดที่ยังไม่หมด "กิเลส" มันก็ต้อง "มี" กันมั่งหละโยม.!!


เทวดายังมีการ "ตกสวรรค์" เมื่อเกิดความ "โกรธ" หรือยาม "เพลิดเพลิน" จนลืม.. เหวย!!

แล้วนับประสาอะไรกับพวก "มนุษย์" ที่ยังต้องกิน ต้องนอน..

จะ "บิน" ไปหารับประทานไข่ปลา "คาร์เวีย" มั่งไม่ได้.!!

สถานการณ์ของ "พระพุทธศาสนา" ณ.ปัจจุบัน ต้องถือว่าอยู่ในขั้น.. วิกฤต.!!!

มีการปล่อยให้ "นักเลงโต" เที่ยวออกมาประท้วง "จาบจ้วง" พระผู้ใหญ่.. 

เดินสาย "ฟ้องร้อง" ไปตาม "โรงพัก" เสมือนหนึ่งรับกิจนิมนต์ฉันเพล..

วันร้ายคืนร้าย.. ก็เที่ยวออกมา "วิพากษ์วิจารณ์" การบ้านการเมือง

หน่วยงานรัฐก็คอย "จองเวร" กับพระกับเจ้าซะเหลือเกิน.. ทั้งๆที่ "หลักฐาน" ก็หาไม่ได้..  แต่ยัง "ออกข่าว" มาว่า "เยอะ" จนต้องใช้เวลาพิจารณา..

ก็ว่ากันไป.. แต่ถ้าจะให้ "ดี" ช่วยไปคลี่คลาย "คดี" ของ "ธวัชชัย อนุกูล" ให้มัน "กระจ่าง" แบบใสใสที..

แล้วค่อยไป "จองกฐิน" กับวัดใหญ่แถวปทุมก็ยังไม่สาย.!!!


นอกจากนั้นยังมี "ภัยมืด" ที่คุกคาม "เงียบๆ" แต่ "ซึมลึก" ลงไปถึง.. รากแก้ว.!

ขยายจาก "แดนใต้" กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคแล้ว.!!!

แต่ "ชาวพุทธ" ที่ยังไม่ทราบ เพราะเขาทำกันเป็น "กระบวนการ" ตั้งแต่ระดับจังหวัด.. อำเภอ.. ตำบล.. ไปจนถึงผู้ใหญ่บ้าน

มีงบจาก "รัฐ" คอยสนับสนุนในการ "สร้าง" สถานที่ปฏิบัติกิจทางศาสนา.. รวมถึงการ "จ่าย" ให้ในช่วงเดินทางไปแสวงบุญ


ในขณะที่ฝ่ายหนึ่ง "โตวันโตคืน" เพราะได้น้ำเลี้ยงดี บวกกับมี "ผู้ใหญ่" คอยช่วยเหลือสนับสนุน

สารพัด "โปรโมชั่น" จะจัดให้แบบ.. ลด.. แลก.. แจก.. แถม

หันมามองพุทธแล้วก็ให้ "อนาถใจ" แค่กฎหมายจะขอไปกราบไหว้ "สังเวชนียสถาน" ของพระพุทธเจ้ายังถูกตีตก..

งบ "สนับสนุน" เกี่ยวกับการเรียนการสอน "ศีลธรรม" ก็ถูกตัดจนหมด.. ราวกับต้องการให้ "เด็กๆ" ค่อยๆ "ย้ายค่าย" ก็มิปาน..

เด็กข้างวัด..
ไม่ใช่ปราชญ์ เพียงไม่อาจทนเห็นหลวงปู่หลวงตาทั้งหลาย โดนใส่ร้ายป้ายสี...เกลียดแบบไร้สาระ